Oct 8, 2009

เทคนิคดีๆ ของการใช้ "Windows" กับลูกเล่นที่คุณอาจยังไม่รู้.


หลักการทำงานของ Windows นั้นหลายๆ คนคงรู้จักกันดี แต่อาจมีบ้างอย่างที่เพื่อนๆ อาจยังไม่รู้เกี่ยวกับการใช้งาน Windows หรือรู้แล้วอาจจะลืมก็ได้ วันนี้เราเลยนำเทคนิคดีๆ เกี่ยวกับการใช้ Windows มาฝากกัน.

30 เทคนิคดีๆ ของการใช้ "Windows"

1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้เพื่อนๆ กด Shift ค้างไว้ จะทำให้เพื่อนๆ Restart ได้เร็วขึ้น

2. ในบาง Web Site หากเพื่อนๆ กด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น

3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดแน่ๆ

4. เพื่อนๆ สามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\windows ของเพื่อนๆ

5. ในระหว่างที่เพื่อนๆ กำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย

6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของเพื่อนๆ นั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop

7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้

8. เพื่อนๆ สามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก

9. เพื่อนๆ สามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้

10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว

11. เพื่อนๆ สามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter

12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar

13. ใน Windows เพื่อนๆ ไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ \"con\" ได้

14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยเพื่อนๆ ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น

15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้เพื่อนๆ ไม่พลาด Startup Menu

16. เพื่อนๆ สามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก

17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น

18. ใน ICQ การส่ง Message หากเพื่อนๆ กด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send

19. เพื่อนๆ สามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้

20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ปัจจุบัน

21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา

22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break

23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ

24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter

25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete

26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา

27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้

28. ในระหว่างใช้ Browser เพื่อนๆ สามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าขึ้นได้

29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ

30. เพื่อนๆ สามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare

แหล่งที่มา:
http://drealingdrug.exteen.com/20080614/microsoft-windows

12 วิธีแก้ปัญหา Windows XP บูตช้า


เพื่อนๆ เป็นคนหนึ่งที่กำลังใช้ Windows XP อยู่อะป่าวคะ แล้วเคยประสบพบเจอปัญหาที่ Windows XP บูตช้ามากเหมือนเราบ้างมั้ยละเนี่ย หากเพื่อนๆ เป็นคนหนึ่งที่เคยเจอกับปัญหาเดี๋ยวกันละก่อ วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ อีกแล้ว มาฝากให้ได้ลองทดสอบกัน กับเทคนิคระดับมืออาชีพต่อไปนี้ ถึงแม้ว่าะดูซับซ้อนไปบ้างแต่รับรองว่าได้ผลอย่างแน่นอน ลองมาดูกันเลยค่ะ วิธีแก้ปัญหา Windows XP บูตช้า

1. เปิดโปรแกรม Notepad (Start -> Programs -> Accessories -> Notepad)

2. พิมพ์ข้อความ "del c:\windows\prefetch\ntosboot-*.* /q" (ไม่ต้องพิมพ์ เครื่องหมายคำพูด) แล้ว Save เป็นชื่อไฟล์ ntosboot.bat ไว้ในไดเรกทอรี C:\

3. คลิกปุ่ม Start -> Run พิมพ์คำสั่ง gpedit.msc แล้ว Enter

4. คลิกเลือกออปชัน Computer Configuration -> Windows Settings -> Scripts (Startup/Shutdown) จากนั้นดับเบิลคลิกที่คำว่า Shutdown ที่ปรากฏ อยู่ในหน้าต่างด้านขวามือ

5. ที่หน้าต่างที่ปรากฏขึ้น คลิกปุ่ม Add –> Browse ตามด้วยการระบุที่อยู่ของไฟล์ ntosboot.bat ซึ่งก็คือ C:\ แล้วคลิกปุ่ม Open

6. คลิกปุ่ม OK -> Apply -> OK เพื่อปิดหน้าต่าง

7. คลิกปุ่ม Start -> Run พิมพ์คำสั่ง devmgmt.msc แล้ว Enter

8. ดับเบิลคลิกที่รายการ IDE ATA/ATAPI controllers

9. คลิกขวาที่รายการย่อย "Primary IDE Channel" เลือกคำสั่ง Properties

10. คลิกแท็บ Advanced Settings เปลี่ยนออปชันในหัวข้อ Device Type จาก autodetect ให้เป็น none แล้วคลิก OK

11. คลิกขวาที่รายการย่อย "Secondary IDE channel" เลือกคำสั่ง Properties แล้วทำซ้ำขั้นตอนที่ 10

12. รีสตาร์ทเครื่องใหม่อีกครั้ง ซึ่งการบูตเครื่องครั้งใหม่จะเร็วขึ้นกว่าเดิม

เพียงเท่านี้ Windows XP ที่เคยช้าเป็น "เต่า" ก็พุ่งปู๊ด...เป็นฉลามติดจรวดแล้ว... งัยล่ะคะกับเทคนิคดีๆ ที่เรานำมาฝากชาว FukDuk.

แหล่งที่มา:
http://board.mercigod.com/index.php?topic=2093.0

คุณรู้ไมว่า... สัญลักษณ์ @ นี้มีที่มา


เครื่องหมายสัญลักษณ์ @ อันนี้ เชื่อว่า.. หลายๆ คนคงรู้จักกันดี เพราะได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของชื่ออีเมล์ ของหลายๆ คนนั้นแหละ แต่หารู้ไม่ว่ามันนั้น มีที่มาที่ไปนะจ๊ะ

บุคคลแรกที่นำ @ มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของชื่ออีเมล์ ในปี 1971 คือ เรย์ ทอมลินสัน วิศวกรคอมพิวเตอร์ เพียงเพราะเขาต้องการหาสัญลักษณ์บางอย่างบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งแน่ใจว่าจะไม่มีปรากฏในชื่อของใครคนใดคนหนึ่ง

หลังจากนั้นมา การใช้ @ (arroba) ในชื่ออีเมล์ เพื่อบอกสังกัดอีเมลของผู้ใช้ก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ "...อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง..."

แต่ทว่าไป หากเพื่อนๆ ต้องการจะถามถึงที่มาของ @ ก่อนที่จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอีเมลนั้น ไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่า... ใครเป็นคนแรกที่นำมาใช้ เนื่องจาก มีหลากหลายทฤษฎีอธิบายเอาไว้แตกต่างกันออกไป

ซึ่งทางทฤษฎีแรกนั้นสันนิษฐานว่า @ ปรากฏให้เห็นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในยุคกลางของยุโรป ซึ่งในสมัยนั้นคนยุโรปจะชอบเขียนตัวหนังสือแบบลากหางของตัวอักษรขึ้นหรือลง ยาว ๆ ซึ่งตัว @ มาจาก a นั่นเอง

ขณะที่ อีกทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไประบุว่า @ มาจากคำว่า ' ad ' ซึ่งเป็นคำบุพบทในภาษาลาติน หมายถึง “ ที่ ” ในทำนองเดียวกัน ก็มีอีกแนวคิดที่คล้าย ๆ กันอธิบายว่า @ เป็นตัวย่อของ ' ana ' (ava) คำบุพบทในภาษากรีก ซึ่งมีหมายความว่า ในอัตรา…(ตามด้วยคำบอกจำนวน) โดยมีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในเชิงการพาณิชย์

จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ของ จิออร์จิโอ สตาบิล ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์จากโรม มีการเสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับที่มาของ @ โดยเขาอ้างว่า สัญลักษณ์ดังกล่าว เคยมีร่องรอยปรากฏให้เห็นตั้งแต่สมัยเรอเนสซองซ์ของอิตาลี ในเอกสารการค้าแห่งเวนิส ซึ่งลงนามโดย ฟรานเซสโก ลาปี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 1536 เนื้อหาในเอกสารดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัญญาการซื้อขายไวน์ โดย @ ที่ปรากฏในเอกสารนี้มีความหมายว่า โถ หรือ เหยือก ซึ่งใช้เป็นภาชนะบรรจุไวน์ในสมัยนั้น อาทิเช่น @ of wine หมายถึง ไวน์ 1 เหยือก เป็นต้น

ดังนั้นสัญลักษณ์ @ ที่พบว่ามีการใช้อย่างแพร่หลายในตะวันตก มีที่มาจาก à ซึ่งเป็นบุพบทในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง “ที่” ทว่าเมื่อนำมาใช้ในเชิงการค้าจะหมายถึง “ราคาชิ้นละ…” ตัวอย่างเช่น 2 books @ 10 F. หมายถึง หนังสือ2 เล่ม ราคาเล่มละ 10 บาท เป็นต้น

แต่ทั้งนี้..ทั้งนั้น.. ถึงแม้จะมีหลากหลายทฤษฎีที่อธิบายที่มาที่ไปของการใช้ @ มาตั้งแต่อดีตแล้ว แต่การใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวเพิ่งจะได้รับความนิยมสุดๆ ในแวดวงคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันนี่เอง…

แหล่งที่มา:
http://zybernia.wordpress.com/2008/11/11/sign/

10 วิธี ดูแลสุขภาพฮาร์ดดิสก์ของคุณ


ช่วงนี้คอมพิวเตอร์ของเพื่อนๆ ดูทำงานช้าลงกว่าปกติอยู่รึป่าว? หรือเกิดอาการงอแง แฮงค์อยู่บ่อยๆ นั้นอาจเป็นอาจอาการป่วยเบื้องต้นของฮาร์ดดิสก์เป็นได้ แต่เรามีวิธีรักษา และเพิ่มความเร็วให้กับฮาร์ดดิสก์ตัวเก่งมาฝากกัน

1. สแกนหาไวรัส

ซึ่งจัดเป็นได้ว่า...ข้อควรปฏิบัติที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่เพื่อนๆ ควรให้ความสำคัญ และหมั่นทำเป็นประจำ เราคงไม่ต้องบอกเพื่อนๆ ใช้มั๊ยว่าไวรัสในปัจจุบันนั้นมีฤทธิ์เดชร้ายแรงแค่ไหน เอาเป็นว่าให้เพื่อนๆ ลองนึกถึงตอนที่ไฟล์ข้อมูลสำคัญในฮา ร์ดดิสก์ถูกทำลาย หรือเสียหายเพียงแค่เพราะว่าเพื่อนๆ ไม่ไ ด้ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเอาไว้ในเครื่อง แต่หากใครที่ติดตั้งเอาไว้แล้วก็ไม่ควรชะล่าใจ ลองตรวจสอบวันที่ของฐานข้อมูลไวรัส (Virus Definition) ถ้าเก่าเกินกว่า 30 วัน ก็ควรรีบทำการอัพเดตให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบัน เพื่อการป้องกันที่เต็มประสิทธิภาพ จากนั้นทำการสแกนฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในร ะบบ ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้กำหนดตารางเวลาในการสแกนเป็นประ จำทุกสัปดาห์

2. ปัดกวาดไฟล์ หรือขยะที่ไม่ได้ใช้

หากเพื่อนๆ ยิ่งใช้งานเครื่องมานานเท่าใด ไฟล์ข้อมูลเก่าๆ หรือขยะในเครื่องก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูลเก่า โปรแกรมเก่า ไฟล์ชั่วคราวที่หลงเหลือจากการท่องอินเตอร์เน็ตรวมทั้งไฟล์ที่ตกค้างจากการติดตั้งโปรแกรมในโฟลเดอร์เก็บไฟล์ชั่วคราวของวินโดว์ส ซึ่งวิธีการง่ายๆ ในการกำจัดไฟล์ขยะเหล่านี้ก็คือการใช้ยูทิลิตี้ Disk Cleanup ของวินโดว์ส หรือจากออปชันทำความสะอาดไฟล์ในโปรแกรม IE โดยตรง (Tools -> Internet Options)

3. กำจัดขยะในซอกหลืบ

แม้ว่าเพื่อนๆ จะทำการลบไฟล์ขยะด้วยตัวเองไปแล้ว แต่ก็ยังอาจมีเศษขยะที่มองไม่เห็นตกค้างอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของคุณอีกมากมาย โดยเศษขยะในที่นี้หมายรวมถึงบรรดาสปายแวร์หรือแอดแวร ์ต่างๆ ด้วย ซึ่งวิธีการตรวจสอบหาขยะเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เครื่อ งมือพิเศษคือโปรแกรมอย่างเช่น Ad-aware หรือ Spybot Search & Destroy ที่หาดาวน์โหลดได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญคืออย่าลืมอัพเดตฐานข้อมูลให้กับโปรแกรมดังก ล่าวก่อนเริ่มทำการสแกนระบบด้วย

4. หมั่นใช้สแกนดิสก์

เมื่อใดก็ตามที่พื้นที่เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เกิดบก พร่องเสียหาย เรามักจะใช้คำแทนจุดบกพร่องนั้นๆ ว่า "Bad Sector" ซึ่งมีความหมายว่าบริเวณพื้นผิวของจานแม่เหล็กเกิดความเสียหายจนไม่สามารถทำการอ่านข้อมูลได้ ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นคือการใช้ยูทิลิตี้ Scandisk ของวินโดว์สในการตรวจสอบหาจุดที่เกิด Bad Sector และย้ายข้อมูลที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ไปยังเซกเตอร์อื่นๆ ที่ปกติทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของไฟล์ข้อมูล โดยในหน้าต่างยูทิลิตี้ Scandisk นั้นให้เพื่อนๆ เลือกอ็อฟชั่น Scan for and attempt recovery of bad sectors ด้วยก่อนเริ่มทำการสแกน นอกจากนี้หากเพื่อนๆ ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 98/Me แนะนำให้ปิดการทำงานของสกรีนเซฟเวอร์ก่อนเริ่ม Scandisk ด้วย

5. จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบ

โปรแกรม Defragmenter ที่ ไม่ต้องเสียเวลาหาให้ไกลเพราะมีอยู่ในวินโดว์สทุก เวอร์ชันแล้วนั้นจะช่วยในการจัดเรียงข้อมูลที่ถูกเขียนลงฮาร์ดดิสก์อย่างสะเปะสะปะให้มีระเบียบ และเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้หัวอ่านฮาร์ดดิสก์ไม่ต้องทำงานหนัก และใช้เวลาในการอ่านข้อมูลสั้นลง และโปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าโปรแกรมจะจับไฟล์ในโฟลเดอร์ของเพื่อนๆ ไปสลับสับเปลี่ยน หรือเรียงไว้ในโฟลเดอร์อื่นๆ จนหาไม่เจอ เพราะการ Defrag นั้นจะทำการจัดเรียงไฟล์ข้อมูลบนดิสก์เท่านั้นไม่ส่ง ผลกระทบต่อโครงสร้างการเก็บไฟล์ในวินโดว์สแต่อย่างใด

6. เก็บทุกอย่างให้เข้าที่

ขั้นตอนนี้จะเรียกว่าเป็นวินัยส่วนตัวก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นลิ้นชักตู้เสื้อผ้าหรือฮาร์ดดิสก์ก ็ล้วนต้องการระบบระเบียบในการจัดเก็บที่ดีด้วยกันทั้ งนั้น ฟังดูอาจเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่ถ้าฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่แรกก็แทบจะไม่ต้องทำอะไ รเลย ส่วนใครที่ยังเก็บไฟล์ทุกชนิดทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นไ ฟล์เอกสารเวิร์ด ไฟล์รูปภาพ ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง ฯลฯ ปนกันมั่วไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องปวดหัวในการค้นหาไฟล์เมื่อต้องการใช้งานให้ดี แต่ถ้าไม่อยาก ... ก็สละเวลาจัดการจัดไฟล์ลงโฟลเดอร์ให้เรียบร้อยเสียตั้งแต่วันนี้

7. แบ็กอัพข้อมูล

ไม่ มีฮาร์ดดิสก์รุ่นไหน ยี่ห้อใด ที่จะมีอายุยืนยาวอยู่กับคุณไปตลอดกาล แต่ถึงแม้ในที่สุดฮาร์ดดิสก์ของเพื่อนๆ จะหมดอายุขัย ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลทั้งหมดที่เก็บอยู่ในนั้นจ ะสูญหายไปด้วย เพียงแต่สิ่งที่เพื่อนๆ ควรต้องหมั่นทำเป็นกิจวัตรก็คือกา รแบ็กอัพไฟล์ข้อมูลสำคัญๆ เก็บไว้ในฟล๊อบปี้ดิสก์ แผ่นซีดี ดีวีดี หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ตัวที่ใช้งานอยู่ หรือถ้าที่กล่าวมานั้นมันยุ่งยาก หรือทำให้คุณลำบากเก ินไป แนะนำให้ใช้ทัมป์ไดรฟ์ที่ปัจจุบันมีราคาแสนถูก และถ้าไม่ลำบากเงินในกระเป๋าจนเกินไปเลือกรุ่นที่จุ 128MB ขึ้นไปจะดีมาก

8. เทขยะอย่าให้เหลือไฟล์ตกค้าง

เมื่อเพื่อนๆ กดปุ่ม Delete เพื่อ ลบไฟล์ ซึ่งในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าไฟล์ข้อมูลของเพื่อนๆ จะถูกลบ ออกไป แต่ในทางทฤษฎีนั้นไฟล์ของเพื่อนๆ จะยังไม่ถูกลบออกไปจริงๆ เพียงแต่วินโดว์สจะทำเครื่องหมายไว้ในพื้นที่ส่วนนั้นๆ ว่าเป็นที่ว่างและเมื่อใดที่มีการเขียนไฟล์ข้อมูลก็ส ามารถเขียนทับตำแหน่งนั้นๆ ได้ นอกจากนี้วินโดว์สจะนำไฟล์ที่เพื่อนๆ ลบไปใส่ไว้ในถังขยะ (Recycle Bin) เผื่อ กรณีที่คุณเกิดเปลี่ยนใจหรือตัดสินใจพลาด หากใครช่างสังเกตจะพบว่าแม้จะลบไฟล์ข้อมูลไปแล้วแต่พื้นที่ว่างในอาร์ดดิสก์นั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใ ด ทั้งนี้ก็เพราะข้อมูลนั้นๆ ยังนอนรอชะตากรรมอยู่ในถังขยะ (Recycle Bin) นั่นเอง ดังนั้นหากเพื่อนๆ มั่นใจว่าไม่ใช้งานแล้ว หรือไม่ต้องการให้ใครมาแอบคุ้ยถังขยะเอาข้อมูลส่วนตัวของเพื่อนๆ ไป แนะให้คลิกขวาที่ไอคอน Recycle Bin แล้วเลือกคำสั่ง Empty Recycle Bin เพื่อกำจัดขยะในถังให้สิ้นซาก

9. แบ่งพาร์ทิชันเพื่อเก็บข้อมูล

ฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปที่ออกมาจากโรงงานนั้นจะไม่มีการ แบ่งพาร์ทิชันเอาไว้ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือซื้อ 80GB ก็จะได้ไดรฟ์ C: ความจุ 80GB มา ใช้งาน แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้เพื่อนๆ ทำการแบ่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็นส่วนๆ หรือที่เรียกว่าการแบ่งพาร์ทิชันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ 80GB นำมาแบ่งเป็น 2 พาร์ทิชัน พาร์ทิชันละ 40GB ซึ่งเพื่อนๆ ก็จะได้ไดรฟ์มาใช้งาน 2 ไดรฟ์คือไดรฟ์ C: และไดรฟ์ D: ซึ่ง การแบ่งพาร์ทิชันนอกจากจะช่วยลดภาระของหัวอ่านแล ะเพิ่มความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์แล้ว เพื่อนๆ ยังสามารถแยกไฟล์สำคัญๆ มาเก็บไว้ในไดรฟ์แยกต่างหากจากไดรฟ์ที่ติดตั้งวินโดว์สซึ่งอาจโดนไวรัสเล่นงานจนเสียหายได้อีกด้วย ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนั้นเพื่อนๆ สามารถทำได้ในขณะที่ติดตั้ง Windows XP เลย แต่ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่เป็นไรเพราะปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับการนี้มากมายซึ่งที่นิยมใช้กันมากที่สุดได้แก่โปรแกรม Partition Magic

10. เลือกความเร็วให้เหมาะกับงาน

วิธีการที่ผ่านมานั้นสามารถช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ของเพื่อนๆ สามารถทำงานได้เร็วขึ้นได้อีกเล็กน้อย อย่างไรก็ดี หากเพื่อนๆ กำลังมองหาหรือตัดสินใจซื้อฮาร์ดดิสก์ใหม่ แนะนำให้พิจารณาเลือกรุ่นความเร็วที่เหมาะสมกับลักษณะงานที่คุณต้องการใช้งาน เช่น เลือกรุ่นที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็ก 5,400 RPM (รอบ/นาที) ที่มีราคาถูกถ้าเพื่อนๆ ใช้เพียงโปรแกรมทั่วๆ ไปเช่น เล่นอินเทอร์เน็ต รับ-ส่งอีเมล์ หรือพิมพ์งานด้วยโปรแกรมเวิร์ด หรือถ้างานของเพื่อนๆ เกี่ยวกับการตกแต่งภาพถ่าย เล่นเกม ก็อาจเลือกซื้อรุ่น 7200 RPM หรืออาจจะเป็น 10,000 RPM เลย ก็ได้หากทำงานประเภทตัดต่อวีดีโอเป็นหลัก ซึ่งฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็กสูง และมีขนาดของแคชภายในมากจะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานให้กับเพื่อนๆ มากยิ่งขึ้น

ว่า..แต่เพื่อนๆ เคยตรวจเช็คสุภาพของ "ฮาร์ดดิสก์" กันบ้างรึยัง อย่าลืมนำทิปดีๆ นี้ไปทำตามกันนะค่ะ เพื่อให้ฮาร์ดดิสก์ของเพื่อนๆ กลับมามีชีวิตชีวา เหมือนใหม่และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แหล่งที่มา:
http://www.vcharkarn.com/vcafe/160838

23 โปรแกรม ที่ถูกซ้อนไว้ใน Windows XP ที่คุณอาจไม่เคยรู้?


เพื่อนๆ หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยรู้ว่า.. Windows XP นั้นมีโปรแกรมดีๆให้เราได้ใช้งานกันอีกตั้ง 23 โปรแกรมเชียวนะ แต่มันดันถูกตั้งให้ซ้อนไว้ซะนี่ ซึ่งถ้าเพื่อนๆ ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้มันนั้นก็อาจจะไม่รู้จักหน้าตา หรือไม่มีทางได้ใช้มันเลย

เพราะบางโปรแกรม มันไม่อยู่ใน StartMenu ให้เรากดบางโปรแกรมถึงติดตั้งมาโดยที่เอาออกไม่ได้บางโปรแกรมเป็นโปรแกรมที่ มาจาก Windows รุ่นก่อน (ทั้งๆ ที่ XP ก็มีโปรแกรมนั้นแล้ว) งั้นเรามาดูกันว่า 23 โปรแกรมนั้นมีอะไรบ้าง

ส่วนวิธีการใช้โปรแกรมก็เพียงเข้าที่ Start -> Run -> พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้

1. charmap.exe = Character Map (มีประโยชน์มากสำหรับใช้พิมพ์อักขระพิเศษนะค่ะ)

2. cleanmgr.exe = Disk Cleanup (เอาไว้ทำความสะอาดหรือ Clear พื้นที่)

3. clipbrd.exe = Clipboard Viewer (ดูข้อมูล ในคลิปบอร์ด)

4. drwtsn32.exe = Dr Watson (โปรแกรมที่ใช้ตัวสอบว่า Windows มีปัญหาเพราะอะไร)

5. dxdiag.exe = DirectX diagnosis (โปรแกรมตรวจสอบอุปกรณ์ว่า สนับสนุน DirectX หรือไม่ และแสดงรายชื่อไฟล์ที่เกี่ยวข้อง)

6. eudcedit.exe = Private character editor (โปรแกรมที่อนุญาตให้เราแก้ไขฟอนต์ หรือทำฟอนต์เองได้)

7. iexpress.exe = IExpress Wizard (โปรแกรมที่สร้างไฟล์ Setup ของ Windows เอาไว้สำหรับคนที่เขียนโปรแกรมบน Windows)

8. mobsync.exe = Microsoft Synchronization Manager (โปรแกรมที่คอยเก็บหน้าเว็บหรือไฟล์บนเครือข่าย เอาไว้ดูตอน offline ได้)

9. mplay32.exe = Windows Media Player 5.1 (โอ้ Windows Media Player รุ่นคุณปู่)

10. odbcad32.exe = ODBC Data Source Administrator (โปรแกรมไว้จัดการกับดาต้าเบต)

11. packager.exe = Object Packager (โปรแกรมที่ใส่พวก Objects ต่างๆ ลงในไฟล์)

12. perfmon.exe = System Monitor (โปรแกรมนี้ มีประโยชน์มากไว้ตัวสอบประสิทธิภาพของวินโดว์)

13. progman.exe = Program Manager (เชลล์ไฟล์ของวินโดว์ 3.11)

14. rasphone.exe = Remote Access phone book (โปรแกรมที่เอาไว้ติดต่อหรือเข้าถึงข้อมูลของสมุดที่อยู่ในเครื่องอื่น)

15. regedt32.exe = Registry Editor [เหมือนกับ regedit.exe] (ไว้ใช้สำหรับแก้ไข Registry ของ Windows)

16. shrpubw.exe = Network shared folder wizard (สร้างแชร์โฟดเดอร์บนเครือข่าย)

17. sigverif.exe = File siganture verification tool (โปรแกรมตรวจสอบ signature ของไฟล์)

18. sndvol32.exe = Volume Contro (โปรแกรมไว้ปรับระดับเสียงไงอันเดียวกับรูปลำโพงตรง tray icon)

19. sysedit.exe = System Configuration Editor (โปรแกรมแก้ไข system.ini กะ win.ini)

20. syskey.exe = Syskey (Secures XP Account database – เป็นโปรแกรมที่ใช้เข้ารหัส รหัสผ่านของ Windows **กรุณาใช้อย่างระมัดระวัง**)

21. telnet.exe = Microsoft Telnet Client (โปรแกรม telnet)

22. verifier.exe = Driver Verifier Manager (โปรแกรมตรวจสอบ driver ต่างของวินโดว์ ใช้สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องไดร์เวอร์)

23. winchat.exe = Windows for Workgroups Chat (โปรแกรม chat รุ่นคุณปู่มีเฉพาะใน Windows ตระกูล NT)

หมายเหตุ: สักนิด ^^ ทราบมาว่า.. อันที่จริงหลายๆ โปรแกรมก็แสดงอยู่ที่ Start (Accessories > System Tools) ส่วนบางโปรแกรมจะอยู่ในเมนูของโปรแกรม System Information นะค่ะ

แหล่งที่มา:
http://www.zoneware.net/forum2/index.php?topic=308.msg1728

มาดู... "คอมพิวเตอร์" เครื่องแรกของไทยกัน


แถมยังเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ประเทศไทยเราได้เริ่มใช้อีกด้วย!เชื่อไหมว่า...นี่คือ "คอมพิวเตอร์" เพื่อนๆ หลายคนคงไม่เชื่อสายตาสินะ

ว่าเจ้าเครื่องหน้าตาประหลาด มีปุ่มเยอะแยะนี้ จะเป็นคอมพิวเตอร์ไปได้
ซึ่งมันมีหน้าตาที่ต่างจากคอมพิวเตอร์ในสมัยนี้อย่างมากเลยเชียว
แต่เชื่อเถอะค่ะ... เพราะมันคือ คอมพิวเตอร์ จริงๆ

สำหรับหน้าตาแปลกๆ ที่ไม่คุ้นเคยของคอมพิวเตอร์ที่เห็นอยู่นี้คือ IBM 1620
แถยยังเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของประเทศไทยเรา ถูกติดตั้งที่ภาควิชาสถิติ
คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2506

ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจำกัด
มูลค่าของคอมพิวเตอร์ IBM 1620 ในขณะนั้นประมาณ สองล้านบาทเศษ
เพื่อใช้ในงานการสอนและ บริการวิชาครู

ปัจจุบันหมดอายุใช้งานไปแล้วจึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์เพื่อการศึกษา
ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพ เพื่อแสดงให้แก่ผู้สนใจทั่วไป

ส่วนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองคือ IBM 1401 ถูกติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2507 มูลค่าเครื่องประมาณ แปดล้านบาท

ปล. ภาพประกอบเป็นเพียงรุ่นของคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ที่เรานำมาให้ได้ดู
ส่วนของจริงหากเพื่อนๆ คนไหนสนใจอยากชม เชิญไปดูได้ที่ศูนย์บริภัณฑ์เพื่อการศึกษา
ท้องฟ้าจำลองนะค่ะ กับคอมพิวเตอร์บรรพบุรุษเครื่องแรกของไทยเรา

แหล่งที่มา:
http://www.rbru.ac.th/courseware/science/4023904/lesson1/lesson1.1.html

เทคนิคดาวน์โหลดคลิป "Youtube" โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม


ในเมื่อเพื่อนๆ อยากรู้กันแล้วว่าทำงัย... งั้นตามมาเลย ... กับวิธีที่ง่ายแสนง่าย ซะเหลือเกินคำบรรยาย ก็เพียงแค่เมื่อเพื่อนๆ ไปเจอะเจอวิดีโอ หรือคลิปอันไหนที่หน้าสนใจ แล้วอยากดาวน์โหลดเก็บเอาไว้.. เป็นของส่วนตัวละก็ แค่พิมพ์คำว่า "kick" ลงไปหน้าลิงก์นั้นๆ เช่น ลิงก์ของวิดีโอผู้จัดการมีที่อยู่เว็บดังนี้ http://youtube.com/watch?v=rqtzQkoJS_k จากนั้นก็เพียงแค่เพื่อนๆ พิมพ์คำว่า kick ลงไปข้างหน้าคำว่า Youtube ดังนี้ http://kickyoutube.com/watch?v=rqtzQkoJS_k แล้วเพื่อนๆ จะพบว่า... มีแถบเครื่องมือของ KickYouTube ปรากฏอยู่ด้านบนของหน้าเว็บเพจปกติของ Youtubeวันนี้เรามีเทคนิคดีๆ มาฝากเพื่อนๆ ชาว FukDuk กัน กับการดาวน์โหลดคลิปต่างๆ จาก Youtube ที่เพื่อนๆ ชื่นชอบ... ลงบนเครื่องโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาโปรแกรม หรือติดตั้งปลั๊กอินใดๆ ในเบราว์เซอร์ให้ยุ่งยากกันเลย กะเพียงแค่เว็บไซต์เดียวเท่านั้น ซึ่งมีวิธีการใช้งานที่ไม่ต้องจำ ไม่ต้องสอน และเท่านี้เพื่อนๆ ก็สามารถเก็บวิดีโอ หรือคลิปดี ที่มีอยู่นับล้านๆ ใน Youtube กันเต็มอิ่มได้เลยฟรีๆ (ของฟรีนั้นมีในโลก)

คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนการดาวน์โหลดกันแล้ว.... มาเริ่มปฏิบัติตามกันเลย ....
1. เลือกนามสกุลไฟล์ที่ต้องการนำไปใช้งาน ได้แก่ FLV, MPG, MP3, HD, MP4, iPhone
2. กดที่ปุ่มด้านขวามือที่เขียนว่า "Go"
3. จากนั้นคลิกขวาที่ "Down" ไปที่ open link
4. จะมีป๊อปอัพขึ้นมาให้คุณกด "Save"

ซึ่ง KickYouTube นั้นถือได้ว่า... เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไว และรวดเร็ว ในการดาวน์โหลดวิดีโอจาก YouTube ที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป

แหล่งที่มา:
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9520000005337

แร่งสปีด Firefox ให้เต็มพิกัด

Firefox นั้นเป็นเว็บเบราว์​เซอร์ที่มีความยืดหยุ่นเป็นอย่างมากเราสามารถที่จะปรับค่าการทำงานในส่วนต่างๆ ให้สามารถที่จะทำงานตามที่เราต้องการได้ หนึ่งในการทำงานที่เราสามารถปรับค่าได้ก็คือ ความสามารถในการแสดงผลหน้าเว็บเพจให้เร็วขึ้น ซึ่งการปรับค่าที่ผมนำมาแนะนำในวันนี้ได้มาจาก helpero.com ส่วนผลลับที่ได้นั้นโดยส่วนตัวผมคิดว่าทำได้ดีพอสมควร(ดีกว่าไม่ปรับเลยนะครับ) เริ่มเลยแล้วกัน

1.พิมพ์ about:config ในช่อง address bar แล้วกด Enter

2.พิมพ์ network.http.pipelining ในช่อง Filter เพื่อที่จะหาค่าที่จะเปลี่ยน

3.ดับเบิ้ลคลิกที่ network.http.pipelining ค่า Value จะเปลี่ยนเป็น true

4.พิมพ์ network.http.pipelining.maxrequests เปลี่ยนค่าเป็น 8

5.พิมพ์ network.http.proxy.pipelining เปลี่ยนค่าเป็น true

6.พิมพ์ network.dns.disableIPv6 เปลี่ยนค่าเป็น true

7.คลิกขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New>Boolean

8.พิมพ์ content.interrupt.parsing กดปุ่ม OK แล้วเลือกค่า Value เป็น true

9.คลิกขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New>Integerพิมพ์ content.max.tokenizing.time ใส่ค่าเป็น 2250000

10.คลิ้กขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New>Integer พิมพ์ content.notify.interval ใส่ค่าเป็น750000

11.คลิกขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New>Boolean พิมพ์ content.notify.ontimer ใส่ค่าเป็นtrue

12.คลิกขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New>Integer พิมพ์ content.notify.backoffcount ใส่ค่าเป็น 5

13.คลิกขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New>Integer พิมพ์ content.switch.threshold ใส่ค่าเป็น 750000

14.คลิกขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New>Integer พิมพ์ nglayout.initialpaint.delay ใส่ค่าเป็น 0

15.คลิกขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New>Integer พิมพ์ ui.submenuDelay ใส่ค่าเป็น 0

16.คลิกขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New>Boolean พิมพ์ plugin.expose_full_path ใส่ค่าเป็น true

17.คลิกขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New>Integer พิมพ์browser.cache.memory.capacity ใส่ค่าเป็น 65536

18.ปิดโปรปกรม Firefox แล้วเปิดขึ้นมาใหม่ก็จะพบว่ามันเร็วขึ้นจริงๆ

สำหรับรายระเอียดในการปรับค่าสามารถดูได้ที่นี่ สำหรับผมลับที่ได้จากฝรั่งเข้าบอกว่า WOW เราคนไทยก็คงจะได้ WOW กันนะครับผม

ยินดีรับฟังทุก comment และขอขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมกัน