ปัญหาWindow XPมันขึ้นเตือนเป็นรูปตกใจมุมล่างขวา
ว่า Memory Low
วิธีแก้ไข
คุณอาจจะตั้ง virtual memory น้อยเกินไปครับ
(มันไม่ได้เอาเนื้อที่ที่เหลือทั้งหมดบน hdd ทำ vm หรอก)
ไปปรับที่ system properties > advanced > (performance) settings
จะเจอ performance options > advanced > (virtual memory) change
เจออีกหน้าต่างนึง virtual memory เลือกไดรฟ์ที่มีตัวเลขอยู่
แก้ไขโดยเพิ่ม maximum size ขึ้นไปอีกครับ เสร็จแล้วกดปุ่ม set จากนั้นก็ restart
ปัญหา Blue Screen นั้นส่วนมากนั้นจะเกิดจากการผิดพลาดของดีไวซ์ไดรเวอร์ หรือการทำงานผิดพลาดอันเนื่องจากมาจากไวรัส เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา Blue Screen ควรหมั่นแบ็กอัพค่าคอนฟิกและค่ารีจิสทรีของวินโดวส์อยู่เสมอ เครื่องมือที่ดีที่สุดก็คือ System Restore ดังนั้นถ้าคุณไม่แน่ใจเรื่องของระบบก่อนลงโปรแกรมหรือไดรเวอร์ใดๆ ก็ตามให้คุณสั่ง System Restore เสียก่อน เผื่อว่าเกิดปัญหา Blue Screen คุณยังสามารถเข้าเซฟโหมดแล้วสั่งให้โรลแบ็กระบบกลับมาได้
Nov 19, 2009
ความแตกต่าง จุดเด่น จุดด้อย ของแรม DDR DDR2 SDRAM
แบบสั้น ๆ นะครับ
SDRAM (Synchronous Dynamic Random Access Memory) ใน 1 สัญญาณนาฬิกาสามารถส่งหรือรับข้อมูลได้ 1 ทางเท่านั้น บัสสูงสุดอยู่ที่ 133MHz (66MHz, 100MHz และ 133MHz) ใช้ไฟเลี้ยง 3.3 โวลต์ มีขาทั้งหมด 168 Pin ปัจจุบันเลิกผลิตไปแล้วครับ
รูป SDRAM
DDR SDRAM (Double Data Rate SDRAM) พัฒนามาจาก SDRAM สามารถทั้งรับและส่งข้อมูลได้ใน 1 สัญญาณนาฬิกา ใช้ไฟน้อยกว่า SDRAM (2.5 โวลต์) มีความเร็วบัสที่หลากหลายกว่า SDRAM ที่เห็นกันบ่อยๆ ก็มี PC2100,PC2700 และ PC3200 (มีความเร็วบัสสูงกว่านี้ แต่ราคาก็จะสูงขึ้น) มีขาทั้งหมด 184 Pin เริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 และยังคงเป็นมาตรฐานของ RAM อยู่ แต่อาจถูก DDR2 กลืนหายไปในไม่ช้า เนื่องจากราคา DDR กับ DDR2 ในปัจจุบันไม่แตกต่างกันเลยครับ
รูป DDR SDRAM
DDR2 SDRAM สามารถรับส่งข้อมูลได้เป็น 2 เท่าของ DDR และกินไฟน้อยกว่า DDR คือใช้ไฟเลี้ยงเพียง 1.8 โวลต์ มีขาทั้งหมด 240 Pin ครับ
รูป DDR2 SDRAM
รูปการทำงานของ RAM ที่ถามมาให้ดูเพิ่มเติมกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://community.thaiware.com/thai/index.php?showtopic=303193
SDRAM (Synchronous Dynamic Random Access Memory) ใน 1 สัญญาณนาฬิกาสามารถส่งหรือรับข้อมูลได้ 1 ทางเท่านั้น บัสสูงสุดอยู่ที่ 133MHz (66MHz, 100MHz และ 133MHz) ใช้ไฟเลี้ยง 3.3 โวลต์ มีขาทั้งหมด 168 Pin ปัจจุบันเลิกผลิตไปแล้วครับ
รูป SDRAM
DDR SDRAM (Double Data Rate SDRAM) พัฒนามาจาก SDRAM สามารถทั้งรับและส่งข้อมูลได้ใน 1 สัญญาณนาฬิกา ใช้ไฟน้อยกว่า SDRAM (2.5 โวลต์) มีความเร็วบัสที่หลากหลายกว่า SDRAM ที่เห็นกันบ่อยๆ ก็มี PC2100,PC2700 และ PC3200 (มีความเร็วบัสสูงกว่านี้ แต่ราคาก็จะสูงขึ้น) มีขาทั้งหมด 184 Pin เริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 และยังคงเป็นมาตรฐานของ RAM อยู่ แต่อาจถูก DDR2 กลืนหายไปในไม่ช้า เนื่องจากราคา DDR กับ DDR2 ในปัจจุบันไม่แตกต่างกันเลยครับ
รูป DDR SDRAM
DDR2 SDRAM สามารถรับส่งข้อมูลได้เป็น 2 เท่าของ DDR และกินไฟน้อยกว่า DDR คือใช้ไฟเลี้ยงเพียง 1.8 โวลต์ มีขาทั้งหมด 240 Pin ครับ
รูป DDR2 SDRAM
รูปการทำงานของ RAM ที่ถามมาให้ดูเพิ่มเติมกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://community.thaiware.com/thai/index.php?showtopic=303193
10 วิธี ดูแลฮาร์ดดิสก์ ให้มีสุขภาพดี
10 วิธี ดูแลฮาร์ดดิสก์ ให้มีสุขภาพดี
แนะนำการบำรุงรักษาอุปกรณ์สำคัญของคอมพิวเตอร์นั่นก็คือ “ฮาร์ดดิสก์” ซึ่งสำหรับใครที่ยังมีฮาร์ดดิสก์ อยู่กับตัว ไม่พังไปเสียก่อน อ่านบทความนี้แล้วหมั่นปฏิบัติตาม รับรองว่าดีต่อฮาร์ดดิสก์ของคุณแน่นอน โปรแกรมที่คุณใช้งานอยู่เป็นประจำทำงานช้าลงหรือเปล่า? หรือพีซีอายุใช้งาน 4 เดือนของคุณมีอาการงอแงหรือไม่? ต่อไปนี้คือวิธีการแก้ปัญหาและเพิ่มความเร็วให้กับฮาร์ดดิสก์ตัวเก่งของคุณ การเป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดดิสก์โดยไม่เคยสแกนตรวจสอบก็เหมือนกับการมีรถยนต์คันหร ูที่เอาแต่ขับอย่างเดียวไม่เคยเข้า ศูนย์บริการ ซึ่งทิปต่อไปนี้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องลงแรงมากนัก เพียงแค่เจียดเวลาสักนิดในการปฏิบัติตาม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ ฮาร์ดดิสก์ของคุณกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนใหม่และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
1. สแกนหาไวรัส
จัดเป็นข้อควรปฏิบัติที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่คุณควรให้ความสำคัญและหมั่นทำเป็นประจำ เราคงไม่ต้องบอกคุณแล้วว่าไวรัสในปัจจุบันนั้นมีฤทธิ์เดช ร้ายแรงแค่ไหน เอาเป็นว่าให้คุณลองนึกถึงตอนที่ไฟล์ข้อมูลสำคัญในฮาร์ดดิสก์ถูกทำลายหรือเสียหายเพี
ยงแค่เพราะว่าคุณไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมป้องกัน ไวรัสเอาไว้ในเครื่อง หรือใครที่ติดตั้งเอาไว้แล้วก็ไม่ควรชะล่าใจ ลองตรวจสอบวันที่ของฐานข้อมูลไวรัส (Virus Definition) ถ้าเก่า เกินกว่า 30 วัน ก็ควรรีบทำการอัพเดตให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบันเพื่อการป้องกันที่เต็มประสิทธิภาพ จากนั้นทำการสแกนฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในระบบ ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้กำหนดตารางเวลาในการสแกนเป็นประจำทุกสัปดาห์
2. ปัดกวาดไฟล์หรือขยะที่ไม่ได้ใช้
ยิ่งใช้งานเครื่องมานานเท่าใด ไฟล์ข้อมูลเก่าๆ หรือขยะในเครื่องก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูลเก่า โปรแกรมเก่า ไฟล์ชั่วคราว ที่หลงเหลือจากการท่องอินเทอร์เน็ตรวมทั้งไฟล์ที่ตกค้างจากการติดตั้งโปรแกรมในโฟลเด
อร์เก็บไฟล์ชั่วคราวของวินโดว์ส ซึ่งวิธีการง่ายๆ ในการ กำจัดไฟล์ขยะเหล่า นี้ก็คือการใช้ยูทิลิตี้ Disk Cleanup ของวินโดว์สหรือจากออปชันทำความสะอาดไฟล์ในโปรแกรม IE โดยตรง (Tools -> Internet Options)
3. กำจัดขยะในซอกหลืบ
แม้ว่าคุณจะทำการลบไฟล์ขยะด้วยตัวเองไปแล้ว แต่ก็ยังอาจมีเศษขยะที่มองไม่เห็นตกค้างอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของคุณอีกมากมาย โดยเศษขยะในที่นี้ หมายถึงบรรดา สปายแวร์หรือแอดแวร์ต่างๆ ด้วย ซึ่งวิธีการตรวจสอบหาขยะเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษคือโปรแกรมอย่างเช่น Ad-aware หรือ Spybot Search & Destroy ที่หาดาวน์โหลดได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญคืออย่าลืมอัพเดตฐานข้อมูลให้กับโปรแกรมดังกล่าวก่อนเริ่ม ทำการสแกนระบบด้วย
4. หมั่นใช้สแกนดิสก์
เมื่อใดก็ตามที่พื้นที่เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เกิดบกพร่องเสียหาย เรามักจะใช้คำแทนจุดบกพร่องนั้นๆ ว่า “Bad Sector” ซึ่งมีความหมายว่า บริเวณพื้นผิวของจาน แม่เหล็กเกิดความเสียหายจนไม่สามารถทำการอ่านข้อมูลได้ ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นคือการใช้ยูทิลิตี้ Scandisk ของวินโดว์ส ในการตรวจสอบหาจุดที่เกิด Bad Sector และย้ายข้อมูลที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ไปยังเซกเตอร์อื่นๆ ที่ปกติทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของไฟล์ข้อมูล โดยในหน้าต่างยูทิลิตี้ Scandisk นั้นให้คุณเลือกออปชัน Scan for and attempt recovery of bad sectors ด้วยก่อนเริ่มทำการสแกน นอกจากนี้หากคุณใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 98/Me แนะนำให้ปิดการทำงาน ของสกรีนเซฟเวอร์ก่อนเริ่ม Scandisk ด้วย
5. จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบ
โปรแกรม Defragmenter ที่ไม่ต้องเสียเวลาหาให้ไกลเพราะมีอยู่ในวินโดว์สทุกเวอร์ชันแล้วนั้นจะช่วยในการจัด
เรียงข้อมูลที่ถูกเขียนลงฮาร์ดดิสก์ อย่างสะเปะสะปะ ให้มีระเบียบและเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้หัวอ่านฮาร์ดดิสก์ไม่ต้องทำงานหนักและใช้เวลาในการอ่านข้อมูลสั้นล
ง และโปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าโปรแกรม จะจับไฟล์ในโฟลเดอร์ของคุณไปสลับสับเปลี่ยนหรือเรียงไว้ในโฟลเดอร์อื่นๆ จนหาไม่เจอ เพราะการ Defrag นั้นจะทำการจัดเรียงไฟล์ข้อมูลบนดิสก์เท่านั้นไม่ส่งผล กระทบต่อโครงสร้างการเก็บไฟล์ในวินโดว์สแต่อย่างใด
6. เก็บทุกอย่างให้เข้าที่
ขั้นตอนนี้จะเรียกว่าเป็นวินัยส่วนตัวก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นลิ้นชักตู้เสื้อผ้าหรือฮาร์ดดิสก์ก็ล้วนต้องการระบบระเบียบในการจั
ดเก็บที่ดีด้วยกันทั้งนั้น ฟังดูอาจเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่ถ้าฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่แรกก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ส่วนใครที่ยังเก็บไฟล์ทุกชนิดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร ไฟล์รูปภาพ ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง ฯลฯ ปนกันมั่วไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องปวดหัวในการค้นหาไฟล์เมื่อต้องการใช้งานให้ดี แต่ถ้าไม่อยากก็สละเวลาจัดการจัดไฟล์ลงโฟลเดอร์ให้เรียบร้อยเสียตั้งแต่วันนี้
7. แบ็กอัพข้อมูล
ไม่มีฮาร์ดดิสก์รุ่นไหน ยี่ห้อใด ที่จะมีอายุยืนยาวอยู่กับคุณไปตลอดกาล แต่ถึงแม้ในที่สุดฮาร์ดดิสก์ของคุณจะหมดอายุขัย ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูล ทั้งหมดที่เก็บอยู่ในนั้นจะสูญหายไปด้วย เพียงแต่สิ่งที่คุณควรต้องหมั่นทำเป็นกิจวัตรก็คือการแบ็กอัพไฟล์ข้อมูลสำคัญๆ เก็บไว้ในฟล๊อบปี้ดิสก์ แผ่นซีดี ดีวีดี หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ตัวที่ใช้งานอยู่ หรือถ้าที่กล่าวมานั้นมันยุ่งยากหรือทำให้คุณลำบากเกินไป แนะนำให้ใช้ทัมป์ไดรฟ์ที่ปัจจุบันมีราคา แสนถูก และถ้าไม่ลำบากเงินในกระเป๋าจนเกินไปเลือกรุ่นที่จุ 128MB ขึ้นไปจะดีมาก
8. เทขยะอย่าให้เหลือไฟล์ตกค้าง
เมื่อคุณกดปุ่ม Delete เพื่อลบไฟล์ ซึ่งในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าไฟล์ข้อมูลของคุณจะถูกลบออกไป แต่ในทางทฤษฎีนั้นไฟล์ของคุณจะยังไม่ถูกลบ ออก ไปจริงๆ เพียงแต่วินโดว์สจะทำเครื่องหมายไว้ในพื้นที่ส่วนนั้นๆ ว่าเป็นที่ว่างและเมื่อใดที่มีการเขียนไฟล์ข้อมูลก็สามารถเขียนทับตำแหน่งนั้นๆ ได้ นอกจากนี้วินโดว์สจะนำไฟล์ที่คุณลบไปใส่ไว้ในถังขยะ (Recycle Bin) เผื่อกรณีที่คุณเกิดเปลี่ยนใจหรือตัดสินใจพลาด หากใครช่างสังเกตจะพบว่า แม้จะลบไฟล์ข้อมูลไปแล้วแต่พื้นที่ว่างในอาร์ดดิสก์นั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพราะข้อมูลนั้นๆ ยังนอนรอชะตากรรมอยู่ในถังขยะ (Recycle Bin) นั่นเอง ดังนั้นหากคุณมั่นใจว่าไม่ใช้งานแล้ว หรือไม่ต้องการให้ใครมาแอบคุ้ยถังขยะเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณไป แนะให้คลิกขวาที่ไอคอน Recycle Bin แล้วเลือกคำสั่ง Empty Recycle Bin เพื่อกำจัดขยะในถังให้สิ้นซาก
9. แบ่งพาร์ทิชันเพื่อเก็บข้อมูล
ฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปที่ออกมาจากโรงงานนั้นจะไม่มีการแบ่งพาร์ทิชันเอาไว้ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือซื้อ 80GB ก็จะได้ไดรฟ์ C: ความจุ 80GB มาใช้งาน แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้คุณทำการแบ่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็นส่วนๆ หรือที่เรียกว่าการแบ่งพาร์ทิชันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ 80GB นำมาแบ่งเป็น 2 พาร์ทิชัน พาร์ทิชันละ 40GB ซึ่งคุณก็จะได้ไดรฟ์มาใช้งาน 2 ไดรฟ์คือไดรฟ์ C: และไดรฟ์ D: ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนอกจากจะช่วย ลดภาระของหัวอ่านและเพิ่มความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์แล้ว คุณยังสามารถแยกไฟล์สำคัญๆ มาเก็บไว้ในไดรฟ์แยกต่างหากจากไดรฟ์ที่ติดตั้ง วินโดว์สซึ่งอาจโดนไวรัสเล่นงานจนเสียหายได้อีกด้วย ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนั้นคุณสามารถทำได้ในขณะที่ติดตั้ง Windows XP เลย แต่ถ้าไม่ได้ทำ ก็ไม่เป็นไรเพราะปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับการนี้มากมายซึ่งที่นิยมใช้กันมากที่สุดได้
แก่โปรแกรม Partition Magic
10. เลือกความเร็วให้เหมาะกับงาน
วิธีการที่ผ่านมานั้นสามารถช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณสามารถทำงานได้เร็วขึ้นได้อีกเล็
กน้อย อย่างไรก็ดี หากคุณกำลังมองหาหรือตัดสินใจซื้อฮาร์ดดิสก์ ใหม่ แนะนำให้พิจารณาเลือกรุ่นความเร็วที่เหมาะสมกับลักษณะงานที่คุณต้องการใช้งาน เช่น เลือกรุ่นที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็ก 5,400 RPM (รอบ/นาที) ที่มีราคาถูกถ้าคุณใช้เพียงโปรแกรมทั่วๆ ไปเช่น เล่นอินเทอร์เน็ต รับ-ส่งอีเมล์ หรือพิมพ์งานด้วยโปรแกรมเวิร์ด หรือถ้างานของคุณ เกี่ยวกับการตกแต่งภาพถ่าย เล่นเกม ก็อาจเลือกซื้อรุ่น 7200 RPM หรืออาจจะเป็น 10,000 RPM เลยก็ได้หากทำงานประเภทตัดต่อวิดีโอเป็นหลัก ซึ่งฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการหมุนจานแม่เหล็กสูงและมีขนาดของแคชภายในมากจะช่วยเ
พิ่มความเร็วในการทำงานให้กับคุณมากยิ่งขึ้น
ที่มา http://tna.mcot.net/bookworld.php?book_id=380
วิธีการอับเดต NOD32 แบบไม่ต้องต่อเน็ต
วิธีการอับเดต NOD32 แบบไม่ต้องต่อเน็ต คับ ใครเคยโพสถามแล้วอ่ะ จำไม่ได้ เลย มาตั้ง กระทู้ ไม่รู้ ว่าเค้ารู้วิธีนี้เหรอ ยัง อ่ะ ยังไง ก็ ลองทำวิธีนี้ดู น่ะเห็นเค้า ว่าได้ ผล อ่ะ
1. ก่อนอื่นเลย ให้เราขอก็อปไฟล์อัพเดตล่าสุดจากเพื่อน ๆ ของเราที่เขาอัพเดตไว้แล้ว (รายชื่อดังลิสต์ด้านล่าง)
ก็อปจาก C:\Program Files\ESET
nod32.000
nod32.002
nod32.003
nod32.004
nod32.005
nod32.006
nod32.log
และก็อปเอาโฟลเดอร์ Logs กับ updfiles และรายชื่อไฟล์ด้านบนไปเก็บไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่ง (เพื่อที่จะเอาไว้ใช้งานในขั้นตอนต่อไป)
2. ปิดระบบการทำงานของโปรแกรม NOD32 ให้หมด (เปิดหน้าต่าง Control Center > Quit)
3. เปิดกลับไปที่ C:\Program Files\ESET แล้วหาไฟล์ nod32krn.exe เมื่อเจอแล้วให้รีเนมไฟล์เป็นชื่ออื่น (อาจจะเติมเครื่องหมาย " _ " ไว้ เช่น "_nod32krn.exe")
4. เปิดหน้าต่าง Task Manager > Processes แล้วหาโปรเซสที่ชื่อ nod32krn.exe แล้วกด End Processes เพื่อเป็นการปิดการทำการงานของโปรแกรมนอดโดยสมบูรณ์
5. ก็อปเอาไฟล์เหล่านี้ -->
nod32.000
nod32.002
nod32.003
nod32.004
nod32.005
nod32.006
nod32.log
อันที่เราได้ก็อปเก็บไว้ในตอนแรกนั้น ไปวางที่ C:\Program Files\ESET โดยให้ก็อปทับไฟล์ตัวเก่าให้หมด
แล้วก็อปโฟลเดอร์ Logs กับ updfiles ไปวาง ณ ตำแหน่งเดียวกัน ก็อปทับไฟล์ตัวเก่าให้หมด
4. รีเนมไฟล์ _nod32krn.exe เป็น nod32krn.exe ตามเดิม
5. แล้วรีสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง เป็นอันเสร็จสิ้น
เพียงเท่านี้ก็จะทำให้โปรแกรมอัพเดทรายชื่อไวรัสตัวใหม่ ๆ ได้แล้วครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก http://community.thaiware.com
1. ก่อนอื่นเลย ให้เราขอก็อปไฟล์อัพเดตล่าสุดจากเพื่อน ๆ ของเราที่เขาอัพเดตไว้แล้ว (รายชื่อดังลิสต์ด้านล่าง)
ก็อปจาก C:\Program Files\ESET
nod32.000
nod32.002
nod32.003
nod32.004
nod32.005
nod32.006
nod32.log
และก็อปเอาโฟลเดอร์ Logs กับ updfiles และรายชื่อไฟล์ด้านบนไปเก็บไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่ง (เพื่อที่จะเอาไว้ใช้งานในขั้นตอนต่อไป)
2. ปิดระบบการทำงานของโปรแกรม NOD32 ให้หมด (เปิดหน้าต่าง Control Center > Quit)
3. เปิดกลับไปที่ C:\Program Files\ESET แล้วหาไฟล์ nod32krn.exe เมื่อเจอแล้วให้รีเนมไฟล์เป็นชื่ออื่น (อาจจะเติมเครื่องหมาย " _ " ไว้ เช่น "_nod32krn.exe")
4. เปิดหน้าต่าง Task Manager > Processes แล้วหาโปรเซสที่ชื่อ nod32krn.exe แล้วกด End Processes เพื่อเป็นการปิดการทำการงานของโปรแกรมนอดโดยสมบูรณ์
5. ก็อปเอาไฟล์เหล่านี้ -->
nod32.000
nod32.002
nod32.003
nod32.004
nod32.005
nod32.006
nod32.log
อันที่เราได้ก็อปเก็บไว้ในตอนแรกนั้น ไปวางที่ C:\Program Files\ESET โดยให้ก็อปทับไฟล์ตัวเก่าให้หมด
แล้วก็อปโฟลเดอร์ Logs กับ updfiles ไปวาง ณ ตำแหน่งเดียวกัน ก็อปทับไฟล์ตัวเก่าให้หมด
4. รีเนมไฟล์ _nod32krn.exe เป็น nod32krn.exe ตามเดิม
5. แล้วรีสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง เป็นอันเสร็จสิ้น
เพียงเท่านี้ก็จะทำให้โปรแกรมอัพเดทรายชื่อไวรัสตัวใหม่ ๆ ได้แล้วครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก http://community.thaiware.com
วิธี update Kaspersky off line แก้ปัญหา black list
เห็นหลายๆท่านมีปัญหา กับ KIS และ KAV เลยไปอ่าน และแปลมา เผื่อท่านใดจะนำไปใช้
ในช่วงนี้ Kaspersky มันคอยบล็อก key ตลอด เลยมีคนใช้วิธี update จาก file ที่ทาง kaspersky เขาให้โหลด โดย
1. ท่านจะต้อง uninstall ก่อน
2. จากนั้น restart เครื่อง
3. install ใหม่ โดยเลือก activate later และไปเลือก update manually ( เรียก kaspersky >> Settings >> Services >> Update >> Manually )
4. activate key (อันที่เป็น black list ก็ได้ เพราะท่านยังไม่ update มันก็ยังใช้ได้) โดยท่านอาจใช้ Firewall block ก็ได้
5. จากนั้นไป Download update file ได้ที่ http://support.kaspersky.com/faq/?qid=207456193 โดยมี file ให้เลือก คือ
av-i386 จะเป็นของ KAV
av-i386&ids จะเป็นของ KIS
เช่น
av-i386-daily.zip จะเป็นของวันอาทิตย์จนถึงวันที่ท่านโหลดตัวอัพเดต
av-i386-weekly.zip จะเป็นของอาทิตย์ที่แล้ว
av-i386-cumul.zip จะเป็นตัวที่เกิน 1 อาทิตย์ก่อน
ถ้างงก็ดูตามรูปครับ
จากนั้นให้ท่านทำตามภาพนี้ เพื่ออัพเดต
Credit
ถ้ายังติด blacklist ก็ลองใส่ activation code ดูนะครับ ต้องเอา active key ของเก่าออกก่อนครับ ถึงจะ active ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก http://community.thaiware.com
ในช่วงนี้ Kaspersky มันคอยบล็อก key ตลอด เลยมีคนใช้วิธี update จาก file ที่ทาง kaspersky เขาให้โหลด โดย
1. ท่านจะต้อง uninstall ก่อน
2. จากนั้น restart เครื่อง
3. install ใหม่ โดยเลือก activate later และไปเลือก update manually ( เรียก kaspersky >> Settings >> Services >> Update >> Manually )
4. activate key (อันที่เป็น black list ก็ได้ เพราะท่านยังไม่ update มันก็ยังใช้ได้) โดยท่านอาจใช้ Firewall block ก็ได้
5. จากนั้นไป Download update file ได้ที่ http://support.kaspersky.com/faq/?qid=207456193 โดยมี file ให้เลือก คือ
av-i386 จะเป็นของ KAV
av-i386&ids จะเป็นของ KIS
เช่น
av-i386-daily.zip จะเป็นของวันอาทิตย์จนถึงวันที่ท่านโหลดตัวอัพเดต
av-i386-weekly.zip จะเป็นของอาทิตย์ที่แล้ว
av-i386-cumul.zip จะเป็นตัวที่เกิน 1 อาทิตย์ก่อน
ถ้างงก็ดูตามรูปครับ
จากนั้นให้ท่านทำตามภาพนี้ เพื่ออัพเดต
Credit
ถ้ายังติด blacklist ก็ลองใส่ activation code ดูนะครับ ต้องเอา active key ของเก่าออกก่อนครับ ถึงจะ active ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก http://community.thaiware.com
Labels:
kaspersky,
kaspersky key,
kaspersky key update,
License key
Subscribe to:
Posts (Atom)